วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

วิธีการเข้าศึกษาต่อ

 การเป็นหมอวิธีรับ 2 ทาง คือ
1.รับตรง ก็คือ โควตาพื้นที่นั่นเองเป็นของแต่ละมหาลัยที่จะจัดสอบ(รับตรง)
2.กสพท.[กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย] (รับกลางรวมทั่วประเทศ)
 
สำหรับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
                                                               สถานที่เรียนตอนปี1-3    สถานที่เรียนตอนปี4-6
1.โครงการเรียนดี                                                  มช.                           มช.
2.โควตาภาคเหนือ(001)                                        มช.                           มช.
3.กสพท.                                                              มช.                           มช.
4.โครงการแพทย์ชนบท(CPIRD)                          มช.                  โรงพยาบาลจังหวัดลำปาง    
5.โครงการเมกะโปรเจ็ค(Mega Project)                 มช.                  โรงพยาบาลจังหวัดลำปางหรือเชียงราย
6.โครงการโอดอท(ODOD)                                   มช.                 โรงพยาบาลตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน
โครงการคืออะไร? เราเลือกมันได้ตอนไหน?
โครงการจะแบ่งออกเป็น 3 โครงการเฉพาะของแพทย์ ถามว่าโครงการนี้มีที่ไหนบ้าง มีทั่วประเทศที่รับคณะแพทย์เลย แล้วแต่พื้นที่จังหวัดที่อยู่ว่า ไปสังกัดมหาวิทยาลัยไหน อย่างภาคเหนือก็ขึ้นกับคณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ นครสวรรค์ ภาคกลางบางจังหวัดก็ขึ้นกับจุฬาฯบ้าง มหิดลบ้าง ต้องไปดูว่ามีสิทธิ์สอบของที่ไหนบ้าง เลือกโครงการได้ 

1.โครงการ One District One Doctor [ODOD] เรียกง่ายๆว่า โอดอท สำหรับภาคเหนือ คนที่มีสิทธิ์เลือกโครงการนี้ได้ ชื่อในทะเบียนบ้าน ที่อยู่ ต้องไม่ใช่อำเภอเมือง หรือชื่อพ่อแม่ ที่อยู่ในทะเบียนบ้าน เป็นต่างอำเภอ และอยู่มาแล้วอย่างน้อย 3 ปี

2.โครงการ Collaborative Project to Increase Production of Rural Doctor [CPIRD] เรียกว่า แพทย์ชนบท หรือเรียกเป็นชื่อโครงการไปเลยว่า ซี-เพริท เรียกกันย่อๆว่า แพทย์ชนฯ 

3.โครงการ Mega Projects เรียกเลยว่า แพทย์เมกะฯ หรือ โครงการผลิตแพทย์เพิ่ม แม้จะเป็นการผลิตแพทย์เพิ่มเหมือนกัน แต่ว่าต่างจาก CPIRD นะ

สำหรับกสพท.กสพท. จะเริ่มต้นรับสมัครประมาณเดือนสิงหาคม
คะแนนที่ใช้ก็แบ่งออกเป็น สัดส่วน 70 : 30 คือวิชาสามัญ 70% และวิชาความถนัดแพทย์30%
วิชาสามัญ70 % ก็เอามาแบ่งน้ำหนักให้แต่ละวิชาอีกทีเป็น วิทย์ 40% คณิต 20% อังกฤษ 20% ไทย 10 % สังคม 10%
แล้ววิชาที่สอบวิชาแรกเนี่ย คือความถนัดแพทย์ จะสอบตอนประมาณสิ้นเดือนตุลาคม (เห็นงี้มาสองปีละ) ส่วนวิชาสามัญสอบเดือนมกราคม ประกาศผลก็ กุมภาพันธ์
กสพท.จะมีสถาบันแพทย์ให้เลือกอยู่ 12สถาบัน และ ทันตะฯ 5 สถาบัน วิธีเลือกง่ายๆ... น้องก็เอาตารางคะแนนปีก่อนๆมากาง แล้วก็นั่งดู แล้วก็หยิบออกมา 4 มหาลัยที่ชอบก่อน จากนั้นก็เรียงคะแนน และเลืกมหาวิทยาลัย


ที่มา http://www.unigang.com/Article/6426

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

1. สำเร็จการศึกษาทางสาขาวิชาแพทย์ศาสตร์ 
2. ขยันสนใจในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี 
3. มีสุขภาพสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย และจิตใจไม่พิการหรือทุพพลภาพ ปราศจากโรค 
4. สามารถอุทิศตนยอมเสียสละเวลา และความสุขส่วนตัว เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อนจากการ เจ็บป่วย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รังเกียจผู้เจ็บป่วย มีความเมตตา และมีความรักในเพื่อนมนุษย์มีความเสียสละที่จะเดินทางไปรักษาพยาบาลผู้คนในชุมชนทั่วประเทศ 
5. มีมารยาทดี สามารถเข้ากับบุคคลอื่นได้ทุกระดับมีความอดทน อดกลั้น และมีความกล้าหาญ 
6. มีความซื่อสัตย์ในวิชาชีพของตน มีคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ ไม่ใช้ความรู้ทางวิชาการของตนไปหลอกลวงหรือทำลายผู้อื่น 
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : โอกาสในการมีงานทำผู้ที่สำเร็จหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าและสามารถสอบผ่านวิชาต่างๆ ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาคือวิสามัญ 1 คณิตศาสตร์ กข. เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ กข. และความถนัดทางการแพทย์ หรือเคยช่วยปฎิบัติงานในโรงพยาบาลของรัฐครบตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ ประมาณ อย่างน้อย 10 วัน ตลอดจนการสอบสัมภาษณ์และการตรวจร่างกาย เมื่อผ่านการทดสอบจึงมีสิทธิเข้าศึกษาแพทย์โดยมีสถาบันที่เปิดสอนวิชาการแพทย์ระดับปริญญาหลายแห่งในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ผู้ที่จะเรียนแพทย์จะต้องมีฐานะทางการเงินพอสมควร เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนวิชาแพทย์ค่อนข้างสูงและใช้เวลานานกว่าการเรียนวิชาชีพอื่นๆ รวมทั้งต้องเสียค่าบำรุงการศึกษา ค่าตำราวิชาการแพทย์และ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ 
หลักสูตรวิชาการแพทย์ระดับปริญญาตรีตามปกติใช้เวลาเรียน 6 ปี ในสองปีหลักสูตร การเรียนจะเน้นหนักด้านวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ต่อจากนั้นจึงเรียนต่อวิชาการแพทย์โดยเฉพาะอีก 4 ปี เมื่อสำเร็จได้รับใบอนุญาตประกอบเวชกรรมของแพทยสภา มีสิทธิประกอบอาชีพแพทย์ได้ตามกฎหมาย โดยมีโอกาสเลือกสายงานในอาชีพแพทย์ได้ดังนี้ 
1. เป็นแพทย์ฝ่ายรักษา โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ 
- แพทย์ที่ทำหน้าที่เวชปฏิบัติทั่วไป (General Practitioner) ทำหน้าที่รักษาคนไข้ทั่วไป เช่น เป็นไข้หวัด โรคกระเพาะ ท้องเสีย เป็นต้น 
- แพทย์เฉพาะทาง (Specialist) รักษาคนไข้ที่มีอาการหนักหรือที่ต้องใช้อุปกรณ์วินิจฉัยพิเศษ หรือต้องการแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะโรคนั้นทำการรักษา เช่น มีน้ำในสมอง มะเร็ง เนื้องอก เป็นต้น 
2. เป็นแพทย์ฝ่ายวิจัย เป็นนักวิจัยที่ทำงานอยู่ในสถาบันทางการแพทย์ ทำการวิจัยและประดิษฐ์ คิดค้นวิทยาการใหม่ๆ ทางการแพทย์ เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติ 
เป็นแพทย์ฝ่ายป้องกันโดยต้องออกไป ปฏิบัติการในท้องที่ทุรกันดารเพื่อให้การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันโรคแก่ประชาชนและหาวิธีป้องกันโรคในชุมชนต่างๆ 
เป็นแพทย์ฝ่ายการสอน หรือ เป็นครูสอน

ที่มา https://blog.eduzones.com/kamonlove/30549

เกี่ยวกับอาชีพแพทย์

อาชีพแพทย์


ลักษณะงาน
แพทย์ คือ ผู้ตรวจค้นโรคและความผิดปกติของร่างกาย จิตใจ สั่งยา ให้การรักษา มีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งในด้านการส่งเสริม สนับสนุน ป้องกัน รักษาโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพ

คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ
1. เป็นผู้ที่สนและเสียสละต่อเพื่อนมนุษย์ มีมารยาทดี และปรับตัวเข้ากับทุกคนได้
2. มีความสนใจวิทยาการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ นอกจากนี้ยังต้องสนใจทางด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี จิตวิทยา ภาษาอังกฤษ สังคมศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์
3. มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ อดทน
4. ซื่อสัตย์ในวิชาชีพของตน ไม่ใช้ความรู้ทางวิชาการหลอกลวงผู้อื่น
5. มีจิตใจเป็นนักวิทยาศาสตร์ คิดด้วยเหตุผล
6. ช่างสังเกตและละเอียดถี่ถ้วน แต่ต้องฉับไว เพราะช้าอาจหมายถึงชีวิตของผู้ป่วย
7. ต้องไม่รังเกียจต่อสิ่งปฏิกูล เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ นำมูก นำเหลือง อาเจียน เพราะต้องนำสิ่งเหล่านี้ไปตรวจ

การศึกษาและการฝึกอบรม
ศึกษาหลักสูตรแพทย์ศาสตร์บัณฑิต จากคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยผ่านการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ตามระเบียบการการของทบวงมหาวิทยาลัย หรือคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ สอบคัดเลือกเอง โดยมีรายละเอียดของคุณสมบัติของผู้สมัคร การสอบข้อเขียน การสอบสัมภาษณ์ การตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพจิตที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
สถาบันที่เปิดสอนแพทย
1.วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
2.วิทยาลัยแพทย์ศาสตรกรุงเทพมหานครและ์วชิรพยาบาล
3.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
4.มหาวิทยาลัยขอนแก่น
5.มหาวิทยาลัยมหิดล
6.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
7.มหาวิทยาลัยนเรศวร
8.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
9.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
10.มหาวิทยาลัยรังสิต
11.มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
1. รับราการในโรงพยาบาลของรัฐหรือกระทรวงสาธารณสุข
2. ทำงานในโรงพยาบาลเอกชน
3. เปิดคลีนิกส่วนตัวรักษาโรค หรือตั้งโรงพยาบาลเอกชนของตนเอง
4. ทำงานนอกเวลาในโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป หลังจากเลิกงานประจำแล้ว
5. ศึกษาเพิ่มเติมเป็นแพทย์เฉพาะทาง สาขาต่างๆ หรือศึกษาในระดับปริญญาโท-เอก

ที่มา http://202.29.138.73/2548/e_BS/Dream_new/pageB18.htm

เกี่ยวกับคณะ

                คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นโรงเรียนแพทย์แห่งที่สามของประเทศไทยต่อจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน และยังเป็นเป็นโรงเรียนแพทย์ในส่วนภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย สถานที่ตั้งปัจจุบันคือ เลขที่ 110 ถนนอินทวโรรส ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ประมาณ 276 ไร่ มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ จดประตูสวนดอก คณบดีคนปัจจุบันของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คือ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วัฒนา นาเจริญวาเจริญ

Img